ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทวิจารณ์วรรณกรรม เรื่อง Nineteen Eighty-Four (1984) by George Orwell



บทวิจารณ์วรรณกรรม เรื่อง Nineteen Eighty-Four (1984) by George Orwell*





รัฐพงศ์   หมะอุ

คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์




            วรรณกรรมการเมืองคลาสสิกของโลก เรื่อง 1984 ซึ่งประพันธ์โดย จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) ที่สะท้อนภาพสังคมอันถูกจำกัดไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานอย่างสิ้นเชิง ผ่านสำนวนการเสียดสีและแฝงไปด้วยความขัดแย้ง ซึ่งถูกถ่ายทอดออกมาในสำนวนการเขียนของ สรวงอัปสร กสิกรานันท์[1] 

เป็นที่น่าสนใจว่า 1984 พยายามตั้งคำถามโดยการมองมุมกลับกับสังคมที่ดูราวกับว่า “ปกติ” ทั้งที่เป็น “ความปกติที่ไม่ปกติ” สังคมแบบย้อนแย้งระหว่างกรอบแนวคิดและวิธีปฏิบัติที่เรียกว่า คิดสองชั้น (Double think) จนกลายเป็นความสำพันธ์ที่ซับซ้อนในเชิงอำนาจ


1984 กับภาพสะท้อนโลก อาเซียน และไทย

            หนังสือ 1984 ถูกตีพิมพ์ในช่วงสงครามเย็น (cold war) และแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของสังคมแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญในการทำให้เกิดสังคมนิยมเบ็ดเสร็จหรือในทางกลับกันนั้น อำนาจเบ็ดเสร็จจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเป็นสำคัญ หากทว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีกลับเอื้ออำนวยต่อระบอบเสรีหรือประชาธิปไตยยิ่งกว่า จะเห็นได้จากคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้และขับเคลื่อนต่อสู้กับความไม่ชอบธรรมต่ออำนาจรัฐหรือเอกชน 


อย่างไรก็ตาม 1984 ยังมีหลายแง่มุมที่น่าสนใจ เช่นว่า จอร์จ ออร์เวลล์ให้ความสำคัญกับการควบคุมข่าวสาร ประวัติศาสตร์ มิติทางภาษาศาสตร์การคิดคำศัพท์ทางการใหม่หรือที่เรียกว่า Newspeak รวมถึงกิจกรรมเกลียดชังหรือแม้แต่การประณามนักโทษต่อสาธารณะ เป็นหนึ่งในพิธีกรรมสร้างความเกลียดชังต่อศัตรูและผู้เป็นอาชญากรความคิด 


ซึ่งอำนาจในการบงการข่าวสารและประวัติศาสตร์ สามารถเปลี่ยนเนื้อหาสาระหรือแม้แต่รายละเอียดได้โดยวันต่อวัน ต่อชั่วโมง หรือนาที มิตรอาจกลายเป็นศัตรู กลับกันศัตรูอาจกลายเป็นมิตร เพราะเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความชอบธรรมของเผด็จการเบ็ดเสร็จ ในเมื่อปัจจุบันเปลี่ยน อดีตก็ต้องถูกเปลี่ยน นั่นคือ อดีตจะถูกปรับให้ทันต่อเหตุการณ์และจะเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด เพื่อให้สมเหตุสมผล นั่นคือคำขวัญของพรรคที่ว่า “ผู้ควบคุมอดีต ย่อมควบคุมอนาคต ผู้ควบคุมปัจจุบัน ย่อมควบคุมอดีต”[2]

            สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งในการควบคุมความคิดคนใน 1984 คือ การสร้างคำที่เรียกว่า Newspeak การกำหนดคำศัพท์ที่จำเป็นโดยเอื้อต่ออำนาจของผู้นำ ลดคำที่นำไปสู่การขบถ เป็นแนวคิดวิธีหนึ่งที่ จอร์จ ออร์เวลล์ สามารถทำนายได้อย่างแม่นยำ คงเป็นตลกร้ายถ้าจะกล่าวว่า หากไม่มีคำศัพท์เกี่ยวกับการขบถก็จะไม่มีการขบถ แต่นั่นกลายเป็นปรัชญาภาษาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีทางสังคมในปัจจุบัน และการคิดสองชั้น (Double think) สามารถบังคับความหมายจากดีเป็นร้าย จากร้ายกลับกลายเป็นดีได้ ดังวลีที่ว่า “สงครามคือสันติภาพ อิสรภาพคือความเป็นทาส อวิชชาคือพลังอำนาจ” 

            หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หนังสือพิมพ์ การสื่อสาร และการศึกษาขยายตัวอย่างมากในเชิงปริมาณซึ่งทำให้การเมืองประเทศต่าง ๆ พัฒนาเป็นการเมืองแบบมวลชนหรือแบบสาธรณชน จึงมีผลให้รัฐและสังคมไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน กล่าวคือทำให้อำนาจรัฐกระจายตัวไม่กระจุกอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และสามารถถูกตรวจสอบได้อย่างเปิดเผย แต่ทั้งนี้สาธารณชนสามารถตกอยู่ในมิจฉาทิฐิร่วมได้และเป็นผู้ค้ำจุนความอัปลักษณ์ในสังคมอย่างฝังลึก กลายเป็นประชาชนเองที่คอยค้ำจุนรัฐ บงการประชาชนด้วยกันเอง และก่อความเลวร้ายได้อย่างน่าเหลือเชื่อ อาทิเช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวโดยลัทธินาซี การปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน ระบอบเขมรแดง และเหตุการณ์      6 ตุลาคม 2519 ในไทย เป็นต้น 


ซึ่งลำพังอำนาจรัฐมิอาจก่อความหายนะจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมวงกว้างขนาดนี้ได้ ประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากในทุกกรณีที่กล่าวมา  เช่นเดียวกับกรณีพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร ความขัดแย้งซึ่งกระทำผ่านสื่อมวลชนเป็นหลัก โดยสื่อจำนวนมากมีความเห็นคลั่งชาติจนกลายเป็นว่าประชาชนเองเป็นผู้ก่อวาทกรรมชาตินิยม ทั้งกรณีทางประวัติศาสตร์อีกหลายกรณี จนก่อให้เกิดการดูถูกชาติเพื่อนบ้าน ทั้งพม่า ลาว กัมพูชา และชาวมลายู ปัจจุบันก็ยังมีคนไทยจำนวนมากที่คลั่งชาติและเชื่อว่าบรรพชนคนไทยมีถิ่นกำเนิดอันยาวนานมาจากแถบเทือกเขาอัลไต[3] ซึ่งมีความสอดคล้องกับในการทำสงคราม ไพร่พลทั้งหลายจะถูกปลุกระดมด้วยคำว่า 

“รบเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินและตายเพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน” 

เป็นหน้าที่อันมีเกียรติและศักดิ์สิทธิ์ของคนในชาติ โดยพวกเขาก็ยอมรับในหน้าที่นี้อย่างภูมิใจและเหนียวแน่น โดยมิได้เฉลียวใจว่า ชาติคืออะไร? และพวกเขามีกรรมสิทธิ์ในผืนดินนั้นคนละกี่ไร่?[4] ซึ่งเกิดขึ้นในทำนองเดียวกับลัทธิผู้คลั่งศาสนา และความขัดแย้งทางชาติพันธุ์


ประเทศไทยกับสังคม 1984 “ห้ามถาม ห้ามสงสัย

            สิ่งที่น่าสนใจในตอนท้ายของ 1984 คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการทารุณกรรม ทำร้ายร่างกายเพื่อให้ตัวละครอย่างวินสตันรับสารภาพในความผิดที่ถูกยัดเยียดว่าผิด เป็นสิ่งที่สะเทือนอารมณ์ของผู้อ่านมิน้อย ภาพของการ “รักษาเยียวยา” นั่นอาจเป็นคำพูดแบบภาษา Newspeak ซึ่งความหมายมิต่างจากการล้างสมองโดยใช้ความกลัว ความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจเป็นตัวกระตุ้น ในสังคมไทยช่วงหลังการรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 มักได้ยินคำว่า “การปรับทัศนคติ” อยู่บ่อยครั้ง 


ประเด็นที่กล่าวถึงคือ กระบวนการปรับความคิด ความเชื่อ ความรู้สึกของบุคคลให้ยอมรับความถูกต้องของเผด็จการอย่างยินยอม แสดงให้เห็นว่าประชาชนในรัฐเผด็จการต้องมีความคิด ทัศนคติต่อการใช้อำนาจของผู้นำถูกต้องเสมอ โดยเหตุเพื่อความสงบสุข แก้ไขปัญหาความรุนแรง ปัญหาความขัดแย้ง และคืนความสุขให้กับคนในชาติ ผู้ที่มีแนวโน้มเห็นต่างหรือต่อต้านคัดค้าน ต้องถูกนำไปปรับทัศนคติใหม่ ผู้ที่เชื่อในเสรีภาพ ความเสมอภาคเท่าเทียม และอำนาจของประชาชน เป็นความคิดที่ “เพ้อฝัน” เป็นอุดมการณ์ที่กินไม่ได้[5] 


ถ้าหากจะเปรียบเทียบสังคมไทยกับ 1984 คิดว่ามีความคล้ายคลึงกันหลายประการ แม้จะไม่ได้เหมือนทุกประการ นั่นเป็นไปไม่ได้เพราะ 1984 เป็นเพียงวรรณกรรม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอันเป็นประสบการณ์ของใครหลายคนรวมถึงข้าพเจ้าเอง อาทิ ในสังคมโรงเรียนหรือสถานศึกษา เราถูกแบ่งชนชั้นชัดเจนถึงความเป็น รุ่นน้อง-รุ่นพี่, ครู-นักเรียน และครู-ผู้อำนวยการ/ผู้บริหาร เป็นต้น ผู้อำนวยการหรือผู้บริหารเปรียบเสมือนผู้นำ มีนโยบาย วิสัยทัศน์ในการพัฒนาโรงเรียนไปในแบบอุดมคติของตนหรืออุดมคติร่วมของคนในสังคม ครูเปรียบเสมือนกลุ่มชนชั้นกลาง คอยทำตามคำสั่งผู้นำ และนักเรียน เสมือนชนชั้นกรรมมาชีพ แรงงานทาสที่ไม่มีสิทธิ์ค้านหรือโต้แย้ง หรือแม้แต่รุ่นพี่-รุ่นน้องที่ถูกแบ่งชนชั้น อนึ่งว่าความอาวุโสหรือวัยวุฒิ เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการใช้อำนาจต่อผู้ที่ต่ำกว่า 


            จะเห็นได้ว่าเราอยู่กับ “อำนาจสำเร็จรูป” เหล่านี้มานาน จนหลายคนอาจชินชา และเฉยชาต่อมัน เพราะเราถูกสอนโดยเปรียบเทียบกับอดีตที่เลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่ของตน แต่มิได้นำไปเทียบเคียงกับอารยประเทศ ยกตัวอย่างเช่น การสอนประวัติศาสตร์ราชาชาตินิยมอย่างการเลิกทาส ทำให้รู้สึกว่าปัจจุบันเราได้ถูกปลดแอกและมีคุณค่าความเป็นมนุษย์มากขึ้น ทว่าถ้าศึกษาในเชิงลึกนั้น มันมีเหตุผลบางอย่างในการกระทำอย่างมีนัยยะ






ทำไมถึงรัก “พี่เบิ้ม” และการควบคุมความคิดนั้นเป็นไปได้หรือ ?

            นับว่า 1984 เป็นวรรณกรรมเรื่องหนึ่งที่จบด้วยโศกนาฏกรรมอย่างสมบูรณ์แบบ และมีความสวยงามในตัวของมัน 1984 ทันต่อเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบัน และเป็นไปได้ว่าในอนาคตก็จะยังมีทิศทางเดียวกัน ในความเป็นจริงพี่เบิ้มอาจไม่เป็นอย่างใน 1984 ลองคิดดูว่าในชีวิตปกติ มีท่านผู้นำหรือผู้มีบารมีที่คนทั้งประเทศเทิดทูนเคารพ พี่เบิ้มในนิยายอาจก่อความหวาดกลัว 


ในขณะที่ผู้นำผู้มีบวรมีในความเป็นจริงก่อให้เกิดความยำเกรง และจงรักภักดี ในลัทธิบูชาผู้นำมักอาศัยการกล่อมประสาทให้เห็นด้านพระคุณมากกว่าพระเดช[6] ในช่วงท้ายของเรื่องคือการเกิดกบฏในตัววินสตัน และจูเลีย เป็นการกบฏในตัวปัจเจกบุคคล ทั้งสองทนไม่ได้ อึดอัดกับกฎเกณฑ์ และแสดงออกโดยการละเมิดของสังคมด้วยการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน แต่ท้ายที่สุดทั้งสองก็ต้องยอมแพ้ การยอมแพ้ของทั้งสองคือ “ฉันขายเธอ เธอขายฉัน” ต่างฝ่ายต่างโทษอีกฝ่ายหนึ่ง และเมื่อนั้นพี่เบิ้มจะปล่อยเขาทันที 


การทรมานให้ตายอย่างไรก็ไม่เท่ากับการขายจิตวิญญาณ เป็นผลให้เขาหมดความเคารพในความเป็นตัวเขา[7] ในท้ายที่สุดเขาก็จะลืมว่า 2+2 เท่ากับ 4 แต่อาจเป็น 3 หรือ 5 ได้โดยเชื่ออย่างสนิทใจเมื่อรัฐบอกให้มันเป็นเช่นนั้น







พี่เบิ้มมีจริงหรือ? หากยังมีความหวัง ทำไมต้องมีในหมู่กรรมาชน?

            “พี่เบิ้มมีตัวตนจริงไหม” เป็นคำถามหนึ่งที่วินสตันถามโอไบรอัน เช่นเดียวกับที่จูเลียคิดว่า พี่เบิ้มอาจไม่มีอยู่จริง
 เขาอาจมีตัวตนเช่นเดียวกับที่พรรคมี พี่เบิ้มเป็นจุดศูนย์รวมพรรค แต่อาจเป็นเพียงนามธรรมที่จอร์จ ออร์เวลล์ ต้องการสะท้อนนัยยะบางอย่าง พี่เบิ้มอาจเป็นนัยยะของอำนาจ ซึ่งมิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault)[8] มองว่า 

“จารีต ปฏิบัติ และกฎเกณฑ์ของสังคมซึ่งอยู่ในรูปของวาทกรรมและภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรม อย่างไรก็ตาม เอกลักษณ์และความหมายมีลักษณะที่ลื่นไหล เปลี่ยนแปลงไปตามวาทกรรมที่สร้างสิ่งเหล่านั้น ขึ้นมา ไม่แน่นอน ตายตัว หรือหยุดนิ่ง เพราะฉะนั้นวาทกรรมจึงเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติซึ่งกระทำต่อสรรพสิ่ง และได้บังคับยัดเยียดให้กับโลกของความเป็นจริง เพราะมันได้สร้างเหตุการณ์และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ขึ้นมาบังคับใช้กับทุกสิ่ง” 

            อย่างไรก็ตามหากมองว่า ถ้าตอนจบของเรื่องไม่ได้เป็นเช่นนี้ แต่การกบฏเกิดผล กรรมาชนลุกฮือขึ้นมาต่อกรกับอำนาจรัฐ มีความเป็นไปได้หรือโอกาสที่จะเกิดขึ้นหรือไม่? ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการที่จะทำให้เหล่ากรรมาชนจะออกมาต่อต้านอำนาจอันไม่เป็นธรรมนั้น พวกเขาต้องเข้าใจเสียก่อนว่าพวกเขากำลังเผชิญกับความไม่เป็นธรรม เขาจะไม่เข้าใจเสรีภาพจนกว่าจะมีเสรีภาพ นั่นคือการปลดแอกจากการกดขี่เขาต้องมีความรู้ 


เช่นว่า ปาร์กยอนมี สาวเกาหลีเหนือที่ตาสว่างหลังลอบดูไททานิก เขาเห็นว่าชายคนหนึ่งยอมสละชีวิตเพื่อผู้หญิงอีกคนเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ แทนที่จะเป็นเพื่อชาติ ซึ่งใครหลายคนว่านั่นเป็นเรื่องของความรัก ความรักเป็นวัฒนธรรมไม่ได้มีมาโดยธรรมชาติ[9]








* งานชิ้นนี้เป็นผลงานส่วนหนึ่งของรายวิชา มธ.101 โลก อาเซียน และไทย โดยนำความรู้ ทฤษฎี และกรอบแนวคิดระเบียบวิจัยทางสังคมศาสตร์ โดยผ่านมุมมองของนักสังคมศาสตร์ผสานความเป็นนักวิทยาศาสตร์ในการวิเคราะห์บริบท ความต้องการที่จะสะท้อนความคิดของผู้เขียนออกมา ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณ อาจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูน อาจารย์ผู้สอนและประสานงาน รวมทั้งผู้ช่วยสอนและประสานงาน และวิทยากรผู้บรรยายพิเศษทุกท่านที่ไม่ได้เอ่ยนามซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจในงานชิ้นนี้
[1] ผู้แปล (2558)
[2] ธงชัย วินิจจะกูล. (2552). มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: กลางวันมืด กลางคืนกลับสว่าง. อำนาจกับการขบถ (online). สืบค้นเมื่อ 23 กันยายน 2559. จาก  http://v1.midnightuniv.org/midnighttext/0009999741
[3] ธงชัย วินิจจะกูล (2552). มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: กลางวันมืด กลางคืนกลับสว่าง. อำนาจกับการขบถ (online). สืบค้นเมื่อ 23 กันยายน 2559. จาก  http://v1.midnightuniv.org/midnighttext/0009999741
[4] สุพจน์ ด่านตระกูล (2528), รบทำไมและรบเพื่อใคร? กับทางรอดของไทย (พิมพ์ครั้งที่ 2, นนทบุรี: สันติธรรม), น.14
[5] สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ (2557). ประชาไท. สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: 1984 กับการปรับทัศนคติ (online). สืบค้นเมื่อ 23 กันยายน 2559. จาก http://prachatai.com/journal/2014/07/54641
[6] ธงชัย วินิจจะกูล (2552). มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: กลางวันมืด กลางคืนกลับสว่าง. อำนาจกับการขบถ (online). สืบค้นเมื่อ 23 กันยายน 2559. จาก  http://v1.midnightuniv.org/midnighttext/0009999741
[7] ธงชัย วินิจจะกุล (2553). ประชาไท. ธงชัย วินิจจะกูล: 'สนทนาท่ามกลางภาวะฝุ่นตลบ’ (online). สืบค้นเมื่อ 23 กันยายน 2559 . จาก http://www.prachatai.com/journal/2010/07/30508
[8] โปรดดู โลกกาภิวัตน์จากข้างล่าง: ฟูโกต์ บูร์ดิเยอ, และอัปปาดูรัย (เอกสารอิเล็กทรอนิกส์). สืบค้นจาก v1.midnightuniv.org/midnighttext/000982.doc
[9] นิธิ เอียวศรีวงศ์ (2557). ประชาไท. นิธิ เอียวศรีวงศ์: ความรักกับเผด็จการ (online). สืบค้นเมื่อ 23 กันยายน 2559. จาก http://www.prachatai.com/journal/2014/09/55723

ความคิดเห็น

  1. เขียนดีมากๆ เลยค่ะ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ4 มีนาคม 2565 เวลา 11:44

    Casino Promotions - JT Hub
    If you're 광주광역 출장샵 on the hunt for a new spot 안성 출장마사지 in 의왕 출장마사지 Las Vegas, here are some casino promotions that 영주 출장샵 can bring 문경 출장안마 excitement back to your game. You'll find the

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

“สิงห์แดง” ในความทรงจำของ “มหาวิทยาลัยแห่งเสรีภาพ” กับความภาคภูมิใจในระบบ Seniority จากมุมมองนักศึกษา “มธ.ตะวันออก”

“สิงห์แดง” ในความทรงจำของ “มหาวิทยาลัยแห่งเสรีภาพ” กับความภาคภูมิใจในระบบ Seniority จากมุมมองนักศึกษา “มธ.ตะวันออก” รัฐพงศ์ หมะอุ [1]   ที่มา : http://www.polsci.tu.ac.th/nw_polsci/   บทนำ          "สิงห์แดง" เป็นคำพูดติดหูสำหรับผู้ที่มีใจฝักใฝ่ในวงการรัฐศาสตร์ ปฏิเสธไม่ได้ว่า "สิงห์แดง" ถือเป็นหนึ่งในคณะที่ยอดนิยมมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ  ของประเทศ จะด้วยเหตุผลที่เป็นคณะที่ผลิตบัณฑิตเข้าสู่วงการราชการ วิชาการ และอื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่าบรรดาศิษย์เก่าที่กล่าวมานั้น หลายท่านเป็นที่ยอมรับและเป็นที่นับถือ กระนั้นก็ตาม ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น บรรดาศิษย์เก่าที่ได้เข้าไปดำรงตำแหน่งอันเป็นผู้กุมชะตากรรมประเทศและมีผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนในประเทศนั้น เบื้องลึกเบื้องหลังได้รับการปลูกฝังค่านิยมอุปถัมภ์ในหมู่คณะ บทความนี้จึงชวนพินิจจุดเริ่มต้น ตลอดจนวิวัฒนาการของแนวคิด อุดมการณ์ นับแต่แรกเริ่มธรรมศาสตร์จนถึงปัจจุบัน แรกเริ่มของธรรมศาสตร์ ภายหลังการอภิวัฒน์ พ.ศ.2475 เมื่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยไม่...

มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง สู่ ธรรมศาสตร์: 83 ปี เสรีภาพที่ได้มา หรือเพียงมายาหลอกหลอน

มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง สู่ ธรรมศาสตร์ : 83 ปี เสรีภาพที่ได้มา หรือเพียงมายาหลอกหลอน (ที่มา:  https://i1.24x7th.com/df/0/ui/post/2017/05/20/5/b/ecdc4f7b-6d69-4443-8b25-8e5e75ac25fe ) รัฐพงศ์ หมะอุ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ * งานเขียนชิ้นนี้เพื่อรำลึกถึงวันคล้ายวันสถาปนา 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (The University of Moral and Political science) ครบรอบ 83 ปี ของ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ที่มา: https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/4/43/ปรีดี_พนมยงค์_กำลังให้โอวาทที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง_พ.ศ._2478.jpg)  “... ยิ่งในสมัยที่ประเทศของเราดำเนินการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญเช่นนี้แล้ว เป็นการจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมหาวิทยาลัย สำหรับประศาสน์ความรู้ในวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองแก่พลเมืองให้มากที่สุดที่จะเป็นได้ เปิดโอกาสให้แก่พลเมืองที่จะใช้เสรีภาพในการศึกษากว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติสืบไป” ( คำประศาสน์การฯ ปรีดี พนมยงค์ เมื่อวันที่ ...