มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
สู่ ธรรมศาสตร์:
83
ปี เสรีภาพที่ได้มา หรือเพียงมายาหลอกหลอน
มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
สู่ ธรรมศาสตร์:
83
ปี เสรีภาพที่ได้มา หรือเพียงมายาหลอกหลอน
(ที่มา: https://i1.24x7th.com/df/0/ui/post/2017/05/20/5/b/ecdc4f7b-6d69-4443-8b25-8e5e75ac25fe)
รัฐพงศ์ หมะอุ
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
*งานเขียนชิ้นนี้เพื่อรำลึกถึงวันคล้ายวันสถาปนา 27 มิถุนายน พ.ศ.2477
มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (The University of Moral and
Political science) ครบรอบ 83 ปี ของ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
![]() |
(ที่มา: https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/4/43/ปรีดี_พนมยงค์_กำลังให้โอวาทที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง_พ.ศ._2478.jpg) |
“... ยิ่งในสมัยที่ประเทศของเราดำเนินการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญเช่นนี้แล้ว
เป็นการจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมหาวิทยาลัย สำหรับประศาสน์ความรู้ในวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองแก่พลเมืองให้มากที่สุดที่จะเป็นได้
เปิดโอกาสให้แก่พลเมืองที่จะใช้เสรีภาพในการศึกษากว้างขวางยิ่งขึ้นเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติสืบไป”
(คำประศาสน์การฯ ปรีดี
พนมยงค์ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2477)
ภายหลังจากการอภิวัฒน์สยาม พ.ศ.2475
เมื่อประเทศสยามได้เปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย
เมื่อเห็นว่าเพียงระบอบการปกครองไม่พอต่อการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองได้อย่างสมบูรณ์หากไร้ซึ่งระบบเศรษฐกิจที่ดี
จึงได้ก่อกำเนิดเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิฐมนูธรรม(ปรีดี พนมยงค์) ขึ้น
หรือที่รู้จักกันว่า “สมุดปกเหลือง” เพื่อมิใช่แค่ให้ประเทศสยามมีเพียงประชาธิปไตยทางสังคม
แต่ต้องการให้มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจเติบโตไปพร้อมกัน แต่ทว่า เค้าโครงฯ
ฉบับนี้ได้ถูกกล่าหาว่าเป็นความคิดแบบคอมมิวนิสต์
โดยอนุกรรมการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจที่รัฐบาลของ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
ตั้งขึ้นมากลั่นกรองเค้าโครงฯนี้ส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วย
เพราะเค้าโครงฯนี้มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
ซึ่งเจ้าและขุนนางยังคงเป็นผู้คุมอำนาจอยู่
เป็นผลสืบเนื่องให้เกิดการยึดอำนาจ
มีการปิดสภาและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา และออกพระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์
เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2476 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยเพื่อประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้
ตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีที่ไม่ได้ผ่านการพิจารณาของสภา โดยมีเหตุผลว่า
“การก่อให้เกิดขึ้นแม้แต่เพียงพยายามก่อให้เกิดขึ้นซึ่งคอมมิวนิสต์
จักเป็นเหตุนำมาซึ่งความหายนะแก่ประชาราษฎร และเป็นภัยแก่ความมั่นคงของประเทศ”
(ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, 2517:65) ทั้งออกแถลงการณ์ประณามนายปรีดี
พนมยงค์ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์แจกจ่ายโดยทั่วไป จนเป็นเหตุที่บีบบังคับให้ ปรีดี
พนมยงค์ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2476 เวลา 18.00 น. ณ
ประเทศฝรั่งเศส(ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, 2517:66)
![]() |
(ที่มา:http://4.bp.blogspot.com/-02lc_A_RZz8/UZG2a6SDAaI/ AAAAAAAAemE/Q0ctf_tnY_o/s320/ สมุดปกเหลือง.jpg) |
อย่างไรก็ตาม
เมื่อผ่านพ้นวิกฤติครั้งนั้นไป ปรีดี พนมยงค์ ได้กลับประเทศมาบริหารบ้านเมืองอีกครั้ง
นำมาซึ่งการพ้นข้อกล่าวหาทุกประการ และเป็นอีกครั้งที่ตระหนักได้ว่าการจะให้ประชาชนเข้าใจจุดประสงค์ของตนนั้น
ต้องให้พวกเขามีการศึกษาเสียก่อน โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจการเมือง
จึงกลายเป็นแนวคิดที่มาของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้น เพื่อหวังจะต้องการให้
ประการแรก คือ เปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับการศึกษา วิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
อันได้แก่ วิชากฎหมาย วิชาการเมือง การปกครอง วิชาเศรษฐกิจ เป็นต้น ประการที่สอง
คือ เงินค่าสมัครเข้าเป็นนักศึกษาที่เหลือจากการจัดตั้งมหาวิทยาลัยนั้น สามารถนำไปจัดตั้งธนาคารเอเชีย
เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรมเจริญมีฐานะมั่นคง (สนิท ผิวนวล, 2543: 24-27)
คุณหญิงบรรเลง ชัยนาม ธรรมศาสตรบัณฑิต(ธ.บ.)หญิงคนแรก เมื่อ พ.ศ.2478 ได้กล่าวถึงเสรีภาพในการเรียนของมหาวิทยาลัยที่เป็นตลาดวิชา
โดยกล่าวความรู้สึกที่ได้เข้าศึกษาว่า “... ธรรมศาสตร์ให้ความเสมอภาคกันหมด สบายใจ
วิชาที่เรียนเป็นวิชาที่รักและสนใจ” (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2526:
75) ซึ่งถือเป็นลักษณะที่สำคัญของสังคมประชาธิปไตย แต่นี่ก็ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของวลีที่ว่า
“ธรรมศาสตร์ มีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว”
หลังเกิดการรัฐประหารเมื่อ 8
พฤศจิกายน พ.ศ.2490 มหาวิทยาลัยถูกคุกคามอย่างหนัก
ถูกกล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์โดยเป็นฐานการเมืองให้กับ ปรีดี พนมยงค์
และอยู่ภายใต้การควบคุม ปกครองโดยเผด็จการทหาร
นักศึกษาต่างตระหนักถึงการมีอยู่ในสิทธิเสรีภาพของตน จึงจำเป็นต้องโอนกิจการบางอย่างให้อยู่ในความดูแลของนักศึกษา
เพื่อแสดงถึงหน้าที่ของมหาวิทยาลัยที่เป็นแหล่งสั่งสอนวิชาความรู้แก่นักศึกษา
ไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์แอบแฝงทางการเมืองอย่างที่ถูกกล่าวหา(พีรพล แสงสว่าง,
2558)
ช่วงปลายเดือนมีนาคม พ.ศ.2492 ภายหลัง “กบฎวังหลวง”
รัฐบาลได้พยายามผลักดันร่าง “พระราชกำหนดมหาวิทยาลัยกรุงเทพ” โดยมีสาระสำคัญ
เพื่อเปลี่ยนชื่อมหาวิทลัย ทั้งจัดตั้ง 4 คณะขึ้นมา คือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ และพาณิชยศาสตร์และการบัญชี พร้อมยกเลิกตำแหน่งผู้ประศาสน์การ
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้ามาดูแล ควบคุม แทนการบริหารอย่างอิสระ แต่ได้ถูกคณะกรรมการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ได้ร่วมกันทำความเห็นแย้งว่ารัฐบาลไม่มีอำนาจออกพระราชกำหนดฯ ดังกล่าว
ความพยายามนี้จึงไม่บรรลุผล
แต่ในที่สุดวันที่มหาวิทยาลัยเกิดการเปลี่ยนแปลงก็มาถึง
โดยถูกยึดพื้นที่ภายใต้คำสั่งของคณะทหารและกฎอัยการศึก เนื่องจากเชื่อว่าผู้ก่อการกบฏครั้งนี้มีความสัมพันธ์กับนายปรีดี
พนมยงค์เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2494 อันเนื่องมาจากการเหตุการณ์ “กบฏแมนฮัตตัน”
ที่ทำให้ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ และอาจารย์มหาวิทยาลัยถูกจับกุมเป็นจำนวนมาก แม้ว่ากฎอัยการศึกจะถูกยกเลิกไปเมื่อวันที่
6 กันยายน 2494 แต่มหาวิทยาลัยก็ไม่สามารถเปิดทำการเรียนการสอนได้ เป็นเหตุให้นักศึกษาไม่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้
จึงต้องใช้สถานที่ของเนติบัณฑิตสภา
และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสถานที่เรียน (พีรพล แสงสว่าง, 2558)
กระทั่ง วันที่ 11 ตุลาคม 2494
มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งเรียกร้องและบุกเข้ายึดมหาวิทยาลัยคืน ซึ่งมีนักศึกษามาชุมนุมกันจำนวนกว่าสองพันคน
และมีนักศึกษาจากต่างมหาวิทยาลัยมาร่วมชุมนุมด้วยกว่าสองร้อยคน
โดยมารวมตัวกันที่หน้าเนติบัณฑิตสภาก่อนที่จะเคลื่อนไปยังรัฐสภาเพื่อกดดันรัฐบาลทหารของจอมพล
ป. พิบูลสงคราม แม้ว่าการชุมนุมประท้วงในครั้งนี้จะไม่ประสบผลสำเร็จ
แต่นักศึกษาก็คงความพยายามที่จะยึดมหาวิทยาลัยคืน จึงเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 5
พฤศจิกายน 2494 โดยเริ่มจากกิจกรรมทัศนศึกษาของนักศึกษาที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
ครั้นกลับจากการทัศนศึกษาในครั้งนี้ นักศึกษาจำนวนมากกว่าพันคนพร้อมใจกันขึ้นรถทัวร์จำนวน
15 คันจากหัวลำโพงเดินทางเข้าสู่มหาวิทยาลัย การยึดคืนมหาวิทยาลัยจากอำนาจเผด็จการทหาร
และต่อมาได้กลายมาเป็น “วันธรรมศาสตร์สามัคคี” ซึ่งมีงานเฉลิมฉลองเป็นประจำทุกปี
จนกระทั่งถูกยกเลิกไปในปี พ.ศ. 2503 และได้เปลี่ยนมาเป็นวันที่ 10 ธันวาคมแทน ในปี
พ.ศ. 2506 (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และคณะ, 2535:
198) และในปี พ.ศ.2495 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้ดำรงตำแหน่ง “อธิการบดี” คนแรกของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นำไปสู่การก่อตั้งคณะใหม่
ที่เดิมทีมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองประสาทปริญญาบัตรเดียว คือ
ธรรมศาสตรบัณฑิต ต่อมาได้มี คณะนิติศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
คณะรัฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ ตามลำดับ
![]() |
(ที่มา: http://huexonline.com/uploads/medias/image/Pridi_3/3Pridi_05.jpg) |
นับว่าช่วงทศวรรษ 2490
นักศึกษาแข็งขันในการดำเนินกิจกรรม โดยเฉพาะการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล
ทำให้มีแรงต้านทางจากฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยที่ควบคุมสโมสร และออกกฎ
ข้อบังคับสโมสรมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2501
เป็นการใช้อำนาจควบคุมนักศึกษาหัวก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม
กระทั่งขนาดมีการลบชื่อออกจากทะเบียนในกรณีประท้วงผู้บริหาร ส่งผลให้เกิด
ข้อบังคับสโมสรมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2502 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ที่ดำรงตำแหน่งประธานสภามหาวิทยาลัยในขณะนั้น (วารุณี
โอสถารมณ์ บก. , 2556, 108) และมีจอมพล ถนอม กิตติขจร
เป็นอธิการบดี ซึ่งเป็นผู้ที่มีทัศนคติต่อการแต่งกายอย่างเคร่งครัดตามระเบียบทหาร
และได้นำมาใช้กับนักศึกษา ทำให้วิถีความหลากหลายความมหาวิทยาลัยเปิดนี้ ค่อยๆ
ถูกกลืนกินในยุคที่เข้าสู่ยุคมหาวิทยาลัยปิด และได้สร้างระเบียบมหาวิทยาลัยใหม่
ด้วยกระบวนการของนักเรียนโรงเรียนทหาร เป็นแนวคิดควบคุมคนหรือนักศึกษาผ่านระบบอุปถัมป์
(วารุณี โอสถารมณ์ บก. , 2556, 143-146)
ทำให้เสรีภาพทางวิชาการระหว่างนักษากับอาจารย์ในการแสดงทัศนคติ
ถกถียงเพื่อการเรียนรู้นี้ มีช่องว่างเพิ่มมากขึ้น เป็นไปในลักษณะที่นักศึกษาต้องคอยรับอาความรู้จากอาจารย์ในลักษณะที่มีการเปรียบเปรยถึงทารกที่ต้องมีมารดาคอยป้อนอาหารให้
และนำมาสู่การคารวะ เคารพนับถือ การสร้างพิธีกรรม
ความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในมหาวิทยาลัย
พ.ศ.2514-2517 สัญญา ธรรมศักดิ์
เข้ามาดำรงตำแหน่งอธิการบดี ซึ่งต้องเผชิญหน้ากับความเคลื่อนไหวของนักศึกษากับการเมืองภายนอกควบคู่กับการการรบริหารมหาวิทยาลัย
ซึ่งได้กล่าวแสดงการสนับสนุนกิจกรรมของนักศึกษา
และเปิดโอกาสให้แสดงความเห้นโต้แย้ง โดยเชื่อถึงความมีเสรีภาพและความเสมอภาค
ดังในคำปารภของอธิการบดี เรื่อง การเชียร์ของคณะในมหาวิทยาลัย ลงวันที่ 27 กันยายน
พ.ศ.2514 ว่า
“... เราถือว่านักศึกษาทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาปีแรกหรือปีใดๆ
ก็ตาม ต่างมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เป็นเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกัน
มีความเป็นอิสระแก่ตนเอง มีเกียรติภูมิความเป็นนักศึกษาเท่ากัน กิจการต่างๆ
ของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ย่อมขึ้นอยู่กับความสมัครใจของนักศึกษาแต่ละคน
ไม่มีการบังคับขู่เข็ญกันในรูปหนึ่งรูปใดทั้งสิ้น” และถือว่าเป็นอกลักษณ์ที่เป็นความภาคภูมิใจของธรรมศาสตร์
และประพฤติปฏิบัติกันสืบมาช้านาน (วารุณี โอสถารมณ์ บก. ,
2556, 221-224)
ทั้งการให้เสรีภาพกับนักศึกษาในการแสดงความคิดเห็นและแสดงออก ในเรื่องของการไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
ดังความเห็นที่ว่า “นักศึกามีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น คำพูด หรือการขีดเขียน
มหาวิทยาลัยไม่เคยกีดกันเลย ถ้าหากการกระทำนั้นไม่ล่วงล้ำสิทธิของผู้อื่น
และก็เป็นเรื่องของนักศึกษาบางคนซึ่งย่อมมีความคิดเห็นทางการเมืองได้” (วารุณี
โอสถารมณ์ บก. , 2556, 225)
เหตุการณ์ที่ได้กล่าวมาเป็นลำดับนับแต่เริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองจนถึงช่วงหลังจากที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สะท้อนผ่านเรื่องราว ความคิดเห็นที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์
ที่สะท้อนแนวคิดซึ่งความเจริญของสังคม การมีสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค
ที่เป็นส่วนสำคัญต่อการสร้างสังคมประชาธิปไตย
![]() |
(ที่มา: http://topicstock.pantip.com/supachalasai/topicstock/S2887689/S2887689-2.jpg) |
มองย้อนกลับมายังปัจจุบัน
ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมโลกได้เปลี่ยนวิถีชีวิต รวมทั้งวิธีคิดบางอย่าง
แนวคิดสากลทำให้เรายกย่องความเป็นมนุษย์และเห็นคุณค่าของมัน เรามีเสรีภาพความเท่าเทียมเสมอกัน
แต่การมีเสรีภาพในการแต่งกายมาเรียน ไม่ได้แปลว่าเราเข้าใจคุณค่าความเป็นมนุษย์ ตราบใดที่เราบอกว่าประชาธิปไตยคือระบอบที่ให้ทุกคนมีสิทธิ
มีเสียงที่จะแสดงออกซึ่งความคิดเห็น แต่ยังมีการรับน้อง พิธีกรรม ที่บั่นทอนสิทธิ
เสรีภาพ และคุณค่าความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่น
ทุกๆ ปีในช่วงรับนักศึกษาใหม่
จะมีเหตุการณ์ที่ชี้ถึงพฤติการณ์ดังกล่าววนเวียนกลับมาบรรจบ “มธ.ตะวันออก” หรือคณะด้านสายวิทยศาสตร์
จะถูกจับตามองเป็นพิเศษ จะด้วย“สัญลักษณ์”หรือการกระทำใดก็ตาม
แต่กลับลืมที่จะหันไปสำรวจ “มธ.ตะวันตก” ที่มีไม่น้อยยังคงมีพฤติการณ์เหล่านี้อยู่
และสายธารการสนับสนุนที่ไม่ขาดสายจาก “รุ่นพี่” ที่เรียนจบไปและยังคงอยู่
และมีอิทธิพลไม่ว่าจะด้วยการสนับสนุนงบประมาณ หรือการสนันสนุนในทางการอำนวยความสะดวกหรือการใดก็ตาม
เป็นแรงบีบบังคับที่ทำให้ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถกระทำได้ กลายเป็นสถาวะที่เกื้อหนุนต่อระบบอุปถัมภ์
ในวาระครบรอบ 83 ปีของธรรมศาสตร์ นานพอแล้วหรือยังที่เราควรหันกลับมาสำรวจตนเอง
ว่าธรรมศาสตร์ยังคงเป็นมหาวิทยาลัยที่มีเสรีภาพทุกตารางนิ้วได้อยู่หรือไม่
![]() |
(ที่มา: https://www.yaklai.com/wp-content/uploads/2016/06/04-7-1024x638.jpg) |
เอกสารอ้างอิง
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. 2526.
ปรีดี ปริทัศน์ ปาฐกถาชุดปรีดี พนมยงค์อนุสรณ์. กรุงเทพฯ: เทียนวรรณ.
พีรพล แสงสว่าง. “พัฒนาการขององค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์:
จาก แนวคิดและอุดมคติทางการเมือง สู่ ความเรียบง่ายทางกิจกรรม”จุลสารหอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์
ย้อนอดีต สู่ 80 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ฉบับที่ 18 (มิถุนายน 2557 – พฤษภาคม 2558
)
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
2556. ผู้ประศาสน์การและอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (พ.ศ.2477-2556): ประวัติชีวิต ความคิด และการทำงาน.
กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สนิท ผิวนวล. 2543.
มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง. กรุงเทพฯ: ฝ่ายการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
Is this the best online casino for US players? - CasinoNow
ตอบลบAre 메리트 카지노 고객센터 you a casino lover? At CasinoNow, we only list the best real money casinos online. We are only here to help 인카지노 you make a หาเงินออนไลน์