ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง สู่ ธรรมศาสตร์: 83 ปี เสรีภาพที่ได้มา หรือเพียงมายาหลอกหลอน




มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง สู่ ธรรมศาสตร์:

83 ปี เสรีภาพที่ได้มา หรือเพียงมายาหลอกหลอน


(ที่มา: https://i1.24x7th.com/df/0/ui/post/2017/05/20/5/b/ecdc4f7b-6d69-4443-8b25-8e5e75ac25fe)

รัฐพงศ์ หมะอุ
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


*งานเขียนชิ้นนี้เพื่อรำลึกถึงวันคล้ายวันสถาปนา 27 มิถุนายน พ.ศ.2477 มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (The University of Moral and Political science) ครบรอบ 83 ปี ของ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์



(ที่มา: https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/4/43/ปรีดี_พนมยงค์_กำลังให้โอวาทที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง_พ.ศ._2478.jpg)



 “... ยิ่งในสมัยที่ประเทศของเราดำเนินการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญเช่นนี้แล้ว เป็นการจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมหาวิทยาลัย สำหรับประศาสน์ความรู้ในวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองแก่พลเมืองให้มากที่สุดที่จะเป็นได้ เปิดโอกาสให้แก่พลเมืองที่จะใช้เสรีภาพในการศึกษากว้างขวางยิ่งขึ้นเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติสืบไป”
(คำประศาสน์การฯ ปรีดี พนมยงค์ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2477)



ภายหลังจากการอภิวัฒน์สยาม พ.ศ.2475 เมื่อประเทศสยามได้เปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย เมื่อเห็นว่าเพียงระบอบการปกครองไม่พอต่อการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองได้อย่างสมบูรณ์หากไร้ซึ่งระบบเศรษฐกิจที่ดี จึงได้ก่อกำเนิดเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิฐมนูธรรม(ปรีดี พนมยงค์) ขึ้น หรือที่รู้จักกันว่า “สมุดปกเหลือง” เพื่อมิใช่แค่ให้ประเทศสยามมีเพียงประชาธิปไตยทางสังคม แต่ต้องการให้มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจเติบโตไปพร้อมกัน แต่ทว่า เค้าโครงฯ ฉบับนี้ได้ถูกกล่าหาว่าเป็นความคิดแบบคอมมิวนิสต์ โดยอนุกรรมการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจที่รัฐบาลของ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ตั้งขึ้นมากลั่นกรองเค้าโครงฯนี้ส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วย เพราะเค้าโครงฯนี้มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งเจ้าและขุนนางยังคงเป็นผู้คุมอำนาจอยู่ 

เป็นผลสืบเนื่องให้เกิดการยึดอำนาจ มีการปิดสภาและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา และออกพระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2476 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยเพื่อประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้ ตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีที่ไม่ได้ผ่านการพิจารณาของสภา โดยมีเหตุผลว่า “การก่อให้เกิดขึ้นแม้แต่เพียงพยายามก่อให้เกิดขึ้นซึ่งคอมมิวนิสต์ จักเป็นเหตุนำมาซึ่งความหายนะแก่ประชาราษฎร และเป็นภัยแก่ความมั่นคงของประเทศ” (ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, 2517:65) ทั้งออกแถลงการณ์ประณามนายปรีดี พนมยงค์ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์แจกจ่ายโดยทั่วไป จนเป็นเหตุที่บีบบังคับให้ ปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2476 เวลา 18.00 น. ณ ประเทศฝรั่งเศส(ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, 2517:66)


(ที่มา:http://4.bp.blogspot.com/-02lc_A_RZz8/UZG2a6SDAaI/
AAAAAAAAemE/Q0ctf_tnY_o/s320/ สมุดปกเหลือง.jpg)


อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านพ้นวิกฤติครั้งนั้นไป ปรีดี พนมยงค์ ได้กลับประเทศมาบริหารบ้านเมืองอีกครั้ง นำมาซึ่งการพ้นข้อกล่าวหาทุกประการ และเป็นอีกครั้งที่ตระหนักได้ว่าการจะให้ประชาชนเข้าใจจุดประสงค์ของตนนั้น ต้องให้พวกเขามีการศึกษาเสียก่อน โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจการเมือง จึงกลายเป็นแนวคิดที่มาของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้น เพื่อหวังจะต้องการให้ ประการแรก คือ เปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับการศึกษา วิชาธรรมศาสตร์และการเมือง อันได้แก่ วิชากฎหมาย วิชาการเมือง การปกครอง วิชาเศรษฐกิจ เป็นต้น ประการที่สอง คือ เงินค่าสมัครเข้าเป็นนักศึกษาที่เหลือจากการจัดตั้งมหาวิทยาลัยนั้น สามารถนำไปจัดตั้งธนาคารเอเชีย เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรมเจริญมีฐานะมั่นคง (สนิท ผิวนวล, 2543: 24-27)


คุณหญิงบรรเลง ชัยนาม ธรรมศาสตรบัณฑิต(ธ.บ.)หญิงคนแรก เมื่อ พ.ศ.2478 ได้กล่าวถึงเสรีภาพในการเรียนของมหาวิทยาลัยที่เป็นตลาดวิชา โดยกล่าวความรู้สึกที่ได้เข้าศึกษาว่า “... ธรรมศาสตร์ให้ความเสมอภาคกันหมด สบายใจ วิชาที่เรียนเป็นวิชาที่รักและสนใจ” (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2526: 75) ซึ่งถือเป็นลักษณะที่สำคัญของสังคมประชาธิปไตย แต่นี่ก็ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของวลีที่ว่า “ธรรมศาสตร์ มีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว”


หลังเกิดการรัฐประหารเมื่อ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 มหาวิทยาลัยถูกคุกคามอย่างหนัก ถูกกล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์โดยเป็นฐานการเมืองให้กับ ปรีดี พนมยงค์ และอยู่ภายใต้การควบคุม ปกครองโดยเผด็จการทหาร นักศึกษาต่างตระหนักถึงการมีอยู่ในสิทธิเสรีภาพของตน จึงจำเป็นต้องโอนกิจการบางอย่างให้อยู่ในความดูแลของนักศึกษา เพื่อแสดงถึงหน้าที่ของมหาวิทยาลัยที่เป็นแหล่งสั่งสอนวิชาความรู้แก่นักศึกษา ไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์แอบแฝงทางการเมืองอย่างที่ถูกกล่าวหา(พีรพล แสงสว่าง, 2558)


ช่วงปลายเดือนมีนาคม พ.ศ.2492 ภายหลัง “กบฎวังหลวง” รัฐบาลได้พยายามผลักดันร่าง “พระราชกำหนดมหาวิทยาลัยกรุงเทพ” โดยมีสาระสำคัญ เพื่อเปลี่ยนชื่อมหาวิทลัย ทั้งจัดตั้ง 4 คณะขึ้นมา คือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และพาณิชยศาสตร์และการบัญชี พร้อมยกเลิกตำแหน่งผู้ประศาสน์การ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้ามาดูแล ควบคุม แทนการบริหารอย่างอิสระ แต่ได้ถูกคณะกรรมการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ได้ร่วมกันทำความเห็นแย้งว่ารัฐบาลไม่มีอำนาจออกพระราชกำหนดฯ ดังกล่าว ความพยายามนี้จึงไม่บรรลุผล


แต่ในที่สุดวันที่มหาวิทยาลัยเกิดการเปลี่ยนแปลงก็มาถึง โดยถูกยึดพื้นที่ภายใต้คำสั่งของคณะทหารและกฎอัยการศึก เนื่องจากเชื่อว่าผู้ก่อการกบฏครั้งนี้มีความสัมพันธ์กับนายปรีดี พนมยงค์เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2494 อันเนื่องมาจากการเหตุการณ์ “กบฏแมนฮัตตัน” ที่ทำให้ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ และอาจารย์มหาวิทยาลัยถูกจับกุมเป็นจำนวนมาก แม้ว่ากฎอัยการศึกจะถูกยกเลิกไปเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2494 แต่มหาวิทยาลัยก็ไม่สามารถเปิดทำการเรียนการสอนได้ เป็นเหตุให้นักศึกษาไม่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้ จึงต้องใช้สถานที่ของเนติบัณฑิตสภา และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสถานที่เรียน (พีรพล แสงสว่าง, 2558)


กระทั่ง วันที่ 11 ตุลาคม 2494 มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งเรียกร้องและบุกเข้ายึดมหาวิทยาลัยคืน ซึ่งมีนักศึกษามาชุมนุมกันจำนวนกว่าสองพันคน และมีนักศึกษาจากต่างมหาวิทยาลัยมาร่วมชุมนุมด้วยกว่าสองร้อยคน โดยมารวมตัวกันที่หน้าเนติบัณฑิตสภาก่อนที่จะเคลื่อนไปยังรัฐสภาเพื่อกดดันรัฐบาลทหารของจอมพล ป. พิบูลสงคราม แม้ว่าการชุมนุมประท้วงในครั้งนี้จะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่นักศึกษาก็คงความพยายามที่จะยึดมหาวิทยาลัยคืน จึงเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2494 โดยเริ่มจากกิจกรรมทัศนศึกษาของนักศึกษาที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ครั้นกลับจากการทัศนศึกษาในครั้งนี้ นักศึกษาจำนวนมากกว่าพันคนพร้อมใจกันขึ้นรถทัวร์จำนวน 15 คันจากหัวลำโพงเดินทางเข้าสู่มหาวิทยาลัย การยึดคืนมหาวิทยาลัยจากอำนาจเผด็จการทหาร และต่อมาได้กลายมาเป็น “วันธรรมศาสตร์สามัคคี” ซึ่งมีงานเฉลิมฉลองเป็นประจำทุกปี จนกระทั่งถูกยกเลิกไปในปี พ.ศ. 2503 และได้เปลี่ยนมาเป็นวันที่ 10 ธันวาคมแทน ในปี พ.ศ. 2506 (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และคณะ, 2535: 198) และในปี พ.ศ.2495 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้ดำรงตำแหน่ง อธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำไปสู่การก่อตั้งคณะใหม่ ที่เดิมทีมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองประสาทปริญญาบัตรเดียว คือ ธรรมศาสตรบัณฑิต ต่อมาได้มี คณะนิติศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี คณะรัฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ ตามลำดับ


(ที่มา: http://huexonline.com/uploads/medias/image/Pridi_3/3Pridi_05.jpg)



นับว่าช่วงทศวรรษ 2490 นักศึกษาแข็งขันในการดำเนินกิจกรรม โดยเฉพาะการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ทำให้มีแรงต้านทางจากฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยที่ควบคุมสโมสร และออกกฎ ข้อบังคับสโมสรมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2501 เป็นการใช้อำนาจควบคุมนักศึกษาหัวก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม กระทั่งขนาดมีการลบชื่อออกจากทะเบียนในกรณีประท้วงผู้บริหาร ส่งผลให้เกิด ข้อบังคับสโมสรมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2502 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ดำรงตำแหน่งประธานสภามหาวิทยาลัยในขณะนั้น (วารุณี โอสถารมณ์ บก. , 2556, 108) และมีจอมพล ถนอม กิตติขจร เป็นอธิการบดี ซึ่งเป็นผู้ที่มีทัศนคติต่อการแต่งกายอย่างเคร่งครัดตามระเบียบทหาร และได้นำมาใช้กับนักศึกษา ทำให้วิถีความหลากหลายความมหาวิทยาลัยเปิดนี้ ค่อยๆ ถูกกลืนกินในยุคที่เข้าสู่ยุคมหาวิทยาลัยปิด และได้สร้างระเบียบมหาวิทยาลัยใหม่ ด้วยกระบวนการของนักเรียนโรงเรียนทหาร เป็นแนวคิดควบคุมคนหรือนักศึกษาผ่านระบบอุปถัมป์ (วารุณี โอสถารมณ์ บก. , 2556, 143-146) ทำให้เสรีภาพทางวิชาการระหว่างนักษากับอาจารย์ในการแสดงทัศนคติ ถกถียงเพื่อการเรียนรู้นี้ มีช่องว่างเพิ่มมากขึ้น เป็นไปในลักษณะที่นักศึกษาต้องคอยรับอาความรู้จากอาจารย์ในลักษณะที่มีการเปรียบเปรยถึงทารกที่ต้องมีมารดาคอยป้อนอาหารให้ และนำมาสู่การคารวะ เคารพนับถือ การสร้างพิธีกรรม ความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในมหาวิทยาลัย


พ.ศ.2514-2517 สัญญา ธรรมศักดิ์ เข้ามาดำรงตำแหน่งอธิการบดี ซึ่งต้องเผชิญหน้ากับความเคลื่อนไหวของนักศึกษากับการเมืองภายนอกควบคู่กับการการรบริหารมหาวิทยาลัย ซึ่งได้กล่าวแสดงการสนับสนุนกิจกรรมของนักศึกษา และเปิดโอกาสให้แสดงความเห้นโต้แย้ง โดยเชื่อถึงความมีเสรีภาพและความเสมอภาค ดังในคำปารภของอธิการบดี เรื่อง การเชียร์ของคณะในมหาวิทยาลัย ลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2514 ว่า


“... เราถือว่านักศึกษาทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาปีแรกหรือปีใดๆ ก็ตาม ต่างมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เป็นเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกัน มีความเป็นอิสระแก่ตนเอง มีเกียรติภูมิความเป็นนักศึกษาเท่ากัน กิจการต่างๆ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ย่อมขึ้นอยู่กับความสมัครใจของนักศึกษาแต่ละคน ไม่มีการบังคับขู่เข็ญกันในรูปหนึ่งรูปใดทั้งสิ้น” และถือว่าเป็นอกลักษณ์ที่เป็นความภาคภูมิใจของธรรมศาสตร์ และประพฤติปฏิบัติกันสืบมาช้านาน (วารุณี โอสถารมณ์ บก. , 2556, 221-224) ทั้งการให้เสรีภาพกับนักศึกษาในการแสดงความคิดเห็นและแสดงออก ในเรื่องของการไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ดังความเห็นที่ว่า “นักศึกามีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น คำพูด หรือการขีดเขียน มหาวิทยาลัยไม่เคยกีดกันเลย ถ้าหากการกระทำนั้นไม่ล่วงล้ำสิทธิของผู้อื่น และก็เป็นเรื่องของนักศึกษาบางคนซึ่งย่อมมีความคิดเห็นทางการเมืองได้” (วารุณี โอสถารมณ์ บก. , 2556, 225)


เหตุการณ์ที่ได้กล่าวมาเป็นลำดับนับแต่เริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองจนถึงช่วงหลังจากที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สะท้อนผ่านเรื่องราว ความคิดเห็นที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์ ที่สะท้อนแนวคิดซึ่งความเจริญของสังคม การมีสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ที่เป็นส่วนสำคัญต่อการสร้างสังคมประชาธิปไตย


(ที่มา: http://topicstock.pantip.com/supachalasai/topicstock/S2887689/S2887689-2.jpg)




มองย้อนกลับมายังปัจจุบัน ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมโลกได้เปลี่ยนวิถีชีวิต รวมทั้งวิธีคิดบางอย่าง แนวคิดสากลทำให้เรายกย่องความเป็นมนุษย์และเห็นคุณค่าของมัน เรามีเสรีภาพความเท่าเทียมเสมอกัน แต่การมีเสรีภาพในการแต่งกายมาเรียน ไม่ได้แปลว่าเราเข้าใจคุณค่าความเป็นมนุษย์ ตราบใดที่เราบอกว่าประชาธิปไตยคือระบอบที่ให้ทุกคนมีสิทธิ มีเสียงที่จะแสดงออกซึ่งความคิดเห็น แต่ยังมีการรับน้อง พิธีกรรม ที่บั่นทอนสิทธิ เสรีภาพ และคุณค่าความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่น


ทุกๆ ปีในช่วงรับนักศึกษาใหม่ จะมีเหตุการณ์ที่ชี้ถึงพฤติการณ์ดังกล่าววนเวียนกลับมาบรรจบ “มธ.ตะวันออก” หรือคณะด้านสายวิทยศาสตร์ จะถูกจับตามองเป็นพิเศษ จะด้วย“สัญลักษณ์”หรือการกระทำใดก็ตาม แต่กลับลืมที่จะหันไปสำรวจ “มธ.ตะวันตก” ที่มีไม่น้อยยังคงมีพฤติการณ์เหล่านี้อยู่ และสายธารการสนับสนุนที่ไม่ขาดสายจาก “รุ่นพี่” ที่เรียนจบไปและยังคงอยู่ และมีอิทธิพลไม่ว่าจะด้วยการสนับสนุนงบประมาณ หรือการสนันสนุนในทางการอำนวยความสะดวกหรือการใดก็ตาม เป็นแรงบีบบังคับที่ทำให้ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถกระทำได้ กลายเป็นสถาวะที่เกื้อหนุนต่อระบบอุปถัมภ์

ในวาระครบรอบ 83 ปีของธรรมศาสตร์ นานพอแล้วหรือยังที่เราควรหันกลับมาสำรวจตนเอง ว่าธรรมศาสตร์ยังคงเป็นมหาวิทยาลัยที่มีเสรีภาพทุกตารางนิ้วได้อยู่หรือไม่



(ที่มา: https://www.yaklai.com/wp-content/uploads/2016/06/04-7-1024x638.jpg)



เอกสารอ้างอิง

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. 2526. ปรีดี ปริทัศน์ ปาฐกถาชุดปรีดี พนมยงค์อนุสรณ์. กรุงเทพฯ: เทียนวรรณ.
พีรพล แสงสว่าง. “พัฒนาการขององค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์: จาก แนวคิดและอุดมคติทางการเมือง สู่ ความเรียบง่ายทางกิจกรรม”จุลสารหอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ ย้อนอดีต สู่ 80 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ฉบับที่ 18 (มิถุนายน 2557 – พฤษภาคม 2558 )
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 2556. ผู้ประศาสน์การและอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (พ.ศ.2477-2556): ประวัติชีวิต ความคิด และการทำงาน. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

สนิท ผิวนวล. 2543. มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง. กรุงเทพฯ: ฝ่ายการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

ความคิดเห็น

  1. Is this the best online casino for US players? - CasinoNow
    Are 메리트 카지노 고객센터 you a casino lover? At CasinoNow, we only list the best real money casinos online. We are only here to help 인카지노 you make a หาเงินออนไลน์

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บทวิจารณ์วรรณกรรม เรื่อง Nineteen Eighty-Four (1984) by George Orwell

บทวิจารณ์วรรณกรรม เรื่อง Nineteen Eighty-Four (1984) by George Orwell * รัฐพงศ์    หมะอุ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์             วรรณกรรมการเมืองคลาสสิกของโลก เรื่อง 198 4 ซึ่งประพันธ์โดย จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) ที่สะท้อนภาพสังคมอันถูกจำกัดไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานอย่างสิ้นเชิง ผ่านสำนวนการเสียดสีและแฝงไปด้วยความขัดแย้ง ซึ่งถูกถ่ายทอดออกมาในสำนวนการเขียนของ สรวงอัปสร กสิกรานันท์ [1]   เป็นที่น่าสนใจว่า 1984 พยายามตั้งคำถามโดยการมองมุมกลับกับสังคมที่ดูราวกับว่า “ปกติ” ทั้งที่เป็น “ความปกติที่ไม่ปกติ” สังคมแบบย้อนแย้งระหว่างกรอบแนวคิดและวิธีปฏิบัติที่เรียกว่า คิดสองชั้น (Double think) จนกลายเป็นความสำพันธ์ที่ซับซ้อนในเชิงอำนาจ 1984 กับภาพสะท้อนโลก อาเซียน และไทย             หนังสือ 1984 ถูกตีพิมพ์ในช่วงสงครามเย็น (cold war) และแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของสังคมแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Tota...

“สิงห์แดง” ในความทรงจำของ “มหาวิทยาลัยแห่งเสรีภาพ” กับความภาคภูมิใจในระบบ Seniority จากมุมมองนักศึกษา “มธ.ตะวันออก”

“สิงห์แดง” ในความทรงจำของ “มหาวิทยาลัยแห่งเสรีภาพ” กับความภาคภูมิใจในระบบ Seniority จากมุมมองนักศึกษา “มธ.ตะวันออก” รัฐพงศ์ หมะอุ [1]   ที่มา : http://www.polsci.tu.ac.th/nw_polsci/   บทนำ          "สิงห์แดง" เป็นคำพูดติดหูสำหรับผู้ที่มีใจฝักใฝ่ในวงการรัฐศาสตร์ ปฏิเสธไม่ได้ว่า "สิงห์แดง" ถือเป็นหนึ่งในคณะที่ยอดนิยมมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ  ของประเทศ จะด้วยเหตุผลที่เป็นคณะที่ผลิตบัณฑิตเข้าสู่วงการราชการ วิชาการ และอื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่าบรรดาศิษย์เก่าที่กล่าวมานั้น หลายท่านเป็นที่ยอมรับและเป็นที่นับถือ กระนั้นก็ตาม ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น บรรดาศิษย์เก่าที่ได้เข้าไปดำรงตำแหน่งอันเป็นผู้กุมชะตากรรมประเทศและมีผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนในประเทศนั้น เบื้องลึกเบื้องหลังได้รับการปลูกฝังค่านิยมอุปถัมภ์ในหมู่คณะ บทความนี้จึงชวนพินิจจุดเริ่มต้น ตลอดจนวิวัฒนาการของแนวคิด อุดมการณ์ นับแต่แรกเริ่มธรรมศาสตร์จนถึงปัจจุบัน แรกเริ่มของธรรมศาสตร์ ภายหลังการอภิวัฒน์ พ.ศ.2475 เมื่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยไม่...

พื้นที่ประชาธิปไตย ทำยังไงให้ได้มา

พื้นที่ประชาธิปไตย ทำยังไงให้ได้มา Democratic Space and How to Find It รัฐพงศ์ หมะอุ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์   * หมายเหตุ:บทความนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดบทความในหัวข้อ“พื้นทีประชาธิปไตย ( Democratic Space)" ระดับมหาวิทยาลัย โดย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ความนำ เสียงโห่ร้องของมวลชนนับแสนที่ก่อการลุกฮือขึ้นใจกลางเมืองหลวงของประเทศดังกังวานก้องไปทั่วลานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ชัยชนะของเหล่านิสิตนักศึกษาที่รวมพลเรียกร้องประชาธิปไตยอันเป็นของประชาชนกลับคืนสู่ประเทศไทยได้อย่างงดงาม  กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ถูกจารึกไว้ในตำราหนังสือให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา แต่น่าเศร้า ฉากแห่งชัยชนะของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาผ่านไปเพียงไม่นาน กลับกลายเป็นฉากโศกนาฏกรรมความรุนแรง ที่นำมาซึ่งความเจ็บปวด และความอิหลักอิเหลื่อต่อปมปัญหา เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 บรรยากาศของประชาธิปไตยเลือนหายไป สนามฟุตบอล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และท้องสนามหลวงประดุจลานประหารนั...